วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

Mind Map การศึกษา 21st century

ลักษณะของศิษย์ในศตวรรษที่ 21
  
 1.มีอิสระที่จะเลือกในสิ่งที่ตนเองพอใจ
   2.ต้องการดัดแปลงสิ่งต่างๆให้ตรงตามความต้องการและความพอใจของตน
   3.ตรวจสอบหาความจริงเบื้องหลัง
   4.เป็นตัวของตนเองและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
   5.เรียนรู้ชีวิตทางสังคม
   6.การร่วมมือและความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรม
   7.ต้องการความเร็วในการสื่อสาร หาข้อมูล และตอบคำถาม
   8.สร้างนวัตกรรมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
หลักการหรือปัจจัยสำคัญด้านการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
   - Authentic learning การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับบริบทหรือสภาพแวดล้อมในขณะเรียนรู้
   - Mental model building  วิธีการเรียนรู้โดยการสั่งสมประสบการณ์
   - Internal motivation การรับรู้ที่แท้จิง ขับดันด้วยฉันทะ
   - Multiple Intelligence จัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความต่างของเด็กแต่ละคน
   - Social learning การเรียนรู้เป็นกิจกรรมของสังคม

ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
ครูต้องไม่สอน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้
และอำนวยความสะดวก (facilitate)
การเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จาก
การเรียนแบบลงมือทำ หรือปฏิบัติ
แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและ
สมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า
PBL (Project-Based Learning)
ความเข้าใจบทบาทของการศึกษา
1.เพื่อการทำงานและเพื่อสังคม
2.เพื่อฝึกฝนสติปัญญาของตน
3.เพื่อทำหน้าที่พลเมือง
4.เพื่อสืบทอดจารีตและคุณค่า

ทักษะครูเพื่อศิษย์ไทย

   - ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมาก” คือ ต้องมีทักษะในการ “จุดไฟ” ในใจศิษย์ ให้รักการเรียนรู้ ให้สนุกกับการเรียนรู้ และกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิต
   - “ก้าวข้ามสาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้
   - ช่วยออกแบบกิจกรรมและการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้ค้นคว้าด้วยตนเอง

ทักษะเพื่อการดำรงชีวิต

สาระวิชาหลัก
   • ภาษาแม่ และภาษาโลก
   • ศิลปะ
   • คณิตศาสตร์
   • เศรษฐศาสตร์
   • วิทยาศาสตร์
   • ภูมิศาสตร์
   • ประวัติศาสตร์
   • รัฐ และความเป็นพลเมืองดี

หัวข้อสำหรับศตวรรษที่ ๒๑

   • ความรู้เกี่ยวกับโลก
   • ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ
   • ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองดี
   • ความรู้ด้านสุขภาพ
   • ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี

ทักษะชีวิตและอาชีพ
ศาสตราใหม่สำหรับครูเพื่อศิษย์
3R  - Reading (อ่านออก)
       - (W)Riting (เขียนได้)
       - (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7C  - Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแกปัญหา)
       - Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
       - Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
       - Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
       - Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทัน สื่อ)
       - Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
       - Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)

พัฒนาสมองห้าด้าน

1. สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)

2. สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
3. สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) คิดนอกกรอบ
4. สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind)
5. สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)

ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

การเรียนรู้ทักษะในการเรียนรู้

   - การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา(problem solving)
   - การสื่อสาร (communication) และความร่วมมือ (collaboration)
   - ความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) และนวัตกรรม (innovation)
ขั้นตอนการเรียนรู้
   - จำได้ (remember)
   - เข้าใจ (understand)
   - ประยุกต์ใช้ (apply)
   - วิเคราะห์ (analyze)
   - ประเมิน(evaluate)
   - สร้างสรรค์ (create)
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
    - การเรียนแบบ PBL
    - เน้นการตั้งคำถามมากกว่าการหาคำตอบ
    - ต้องเรียนเองโดยการฝึกฝน
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
      ทักษะด้านสารสนเทศ   - ทักษะในการเข้าถึง
                                            - ทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือ
                                            - ทักษะในการใช้อย่างสร้างสรรค์
                                            - เข้าถึงสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
      ทักษะด้านสื่อ  - ด้านรับสารจากสื่อ
                              - ด้านสื่อสารออกไปยังสาธารณะ
      ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร   - ใช้เทคโนโลยีเพื่อวิจัย
                                                                             - ใช้เครื่องมือสื่อสาร
                                                                             - ปฏิบัติตามคุณธรรมและกฎหมาย
ทักษะด้านความเป็นนานาชาติ
     - การเรียนแบบ PBL
     -  ครูต้องศึกษาวัฒนธรรมต่างประเทศ
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
     - ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
     - การมีผลงานและความรับผิดชอบ ตรวจสอบได้

แนวคิดการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลใหม่ในการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์
ขึ้นกับครู/ครูเป็นตัวตั้ง(Teacher-directed)   เด็กเป็นหลัก(Leamer-centered)
                                สอน                                                      แลกเปลี่ยนเรียนรู้
                                ความรู้                                                  ทักษะ
                                เนื้อหา                                                  กระบวนการ
                                ทักษะพื้นฐาน                                       ทักษะประยุกต์
                                ข้อความจริงและหลักการ                     คำถามและปัญหา
                                ทฤษฎี                                                  ปฏิบัติ
                                หลักสูตร                                              โครงการ
                                ช่วงเวลา                                               ตามความต้องการ
                                เหมือนกันทั้งห้อง (One-size-fits-all)   เหมาะสมรายบุคคล (Personalized)
                                แข่งขัน                                                 ร่วมมือ
                                ห้องเรียน                                              ชุมชนทั่วโลก
                                ตามตำรา                                              ใช้เว็บ
                                สอบความรู้                                           ทดสอบการเรียนรู้
                                เรียนเพื่อโรงเรียน                                 เรียนเพื่อชีวิต
สอนน้อย เรียนมาก
-PLC - professional learning communities คือ กระบวนการสร้างครูเพื่อศิษย์
-สอนน้อย คือ สอนเท่าที่จำเป็น ครูต้องรู้ว่าตรงไหนควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง
การเรียนรู้และการสอน
    - ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกเป็นนักตั้งคำถาม
    - เรียนวิชา STEM คือ Science, Technology, Engineering และ Mathematics
การเรียนรู้อย่างมีพลัง
    - จักรยานแห่งการเรียนรู้
    - เครือข่ายเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์
    - Plan คือ การวางแผนการทำงานในโครงการ
    - นักเรียนต้องได้เรียนแบบ PBL (Project-Based Learning)
    - นักเรียนจะเรียนได้ดีหากได้รับการสอนเรื่อง how to learn และ what to learn
    - การเรียนกลุ่มย่อยแบบร่วมมือกัน (Collaborative Small-Group Learning)
ครูเพื่อศิษย์ชี้ทางแห่งหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า
   - ครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง
   - จัดระดมความคิด
   - จัดสถานการจำลอง

จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
สมดุลระหว่างความง่ายกับความยาก
   ความจริงเกี่ยวกับการคิด ๓ ประการ ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิมได้แก่
1. การคิดทำได้ช้า
2. การคิดนั้นยาก ต้องใช้ความพยายามมาก
3. ผลของการคิดนั้นไม่แน่ว่าจะถูกต้อง
   ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องคือ “ความจำใช้งาน” (working memory) กับ
“ความจำระยะยาว” (longterm memory)
ความคิดกับความรู้เกื้อกูลกัน
   - หน้าที่สำคัญที่สุดของครูคือ การสร้างแรงบันดาลใจใคร่เรียนรู้ หรือจุดไฟของความใคร่เรียนรู้ขึ้นในใจหรือในสมองเด็ก
   - ออกแบบการเรียน ให้เด็กได้ฝึกการคิดกับการจำไปพร้อม ๆ กัน
เพราะคิดจึงจำ
    - ผู้เรียนซึมซับเข้าไปไว้ในความจำ
      ครูที่เก่งมีคุณลักษณะสำคัญ 2 ด้าน   
1. รักเอาใจใส่เด็ก     
2. สามารถออกแบบการเรียนรู้ ให้น่าสนใจและเข้าใจง่าย
ความเข้าใจคือความจำจำแลง สู่การฝึกตนฝนปัญญา
      การฝึกทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ทักษะพื้นฐานทางการเขียน มีประโยชน์ ดังนี้
            1. ได้ทักษะคิดลึก และได้ความรู้ที่ลึก
            2. ป้องกันการลืม
            3. ช่วยการนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ (transfer)
      การฝึกฝนมีเป้าหมาย 2 ระดับ   
- ระดับแรก คือ ให้พอทำเป็น (minimum competence)
- ระดับที่ 2 คือ ให้ชำนาญ (proficiency)

ฝึกฝนจนเหมือนตัวจริง
คนหัดใหม่มีวิธีทำให้ตนเองคิดแบบผู้เชี่ยวชาญด้วย 4 กลไก ได้แก่
1. เพิ่มต้นทุนความรู้ (background knowledge หรือ longterm memory) และจัดระบบไว้อย่างดี ให้พร้อมใช้ (เรียกว่า functional knowledge) ดึงเอาไปใช้ตรงตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
2. ฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถใช้พื้นที่ความจำใช้งานที่มีจำกัดในการคิดได้มากและซับซ้อนขึ้น
3. ฝึกคิดแบบลึก (deep structure) หรือแบบ functional หรือคิดตีความหาความหมาย (meaning) ไม่ใช่คิดแบบตื้น (surface structure) ตามที่ตาเห็น
4. คุยกับตัวเองว่า กำลังขบปัญหาอะไรอยู่ ในลักษณะของการมองแบบนามธรรม หรือแบบสรุปรวบยอด (generalization) และตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับการแก้ปัญหานั้นไปในตัว

สอนให้เหมาะต่อความแตกต่างของศิษย์
   นักเรียนมีความแตกต่าง 3 แนว ได้แก่
1. ความสามารถทั่วไปในการเรียนรู้ อาจเรียกว่าเด็กฉลาด เด็กหัวไวเด็กหัวช้า
2. รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาท แบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว (Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners Theory)
3. ความฉลาด 8 ด้าน ตามทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences)
ช่วยศิษย์ที่เรียนอ่อน
   - การให้คำชม
   - จงอย่าชมความสามารถ ให้ชมความมานะพยายาม เพื่อทำให้สิ่งที่มีคุณค่าคือ ความมานะพยายาม คือความสำเร็จที่ได้มาจากความบากบั่นเอาชนะอุปสรรค
   - จงอย่าชื่นชมความสำเร็จที่ได้มาโดยง่าย
   - จงชื่นชมพรแสวงของศิษย์ให้มากกว่าพรสวรรค์
ฝึกฝนตนเอง
   ครูที่ดีต้องเรียนรู้เคี่ยวกรำฝึกฝนตนเองตลอดชีวิตการเป็นครู และเรียนรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ครู ด้วยหลัก 3 ประการคือ
(1) มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาการทำหน้าที่ครู
(2) หาผลลัพธ์ที่สะท้อนกลับมา (feedback) เพื่อทบทวนไตร่ตรอง (reflection) การจัดการเรียนรู้ของตนเอง อันจะนำไปสู่การปรับปรุงการทำหน้าที่ครูอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
(3) ลงมือปรับปรุงตนเอง
เปลี่ยนมุมความเชื่อเดิมเรื่องการเรียนรู้

บันเทิงชีวิตครูสู่ชุมชนการเรียนรู้131
กำเนิดอานิสงฆ์ของ PLC
   การศึกษาต้องเปลี่ยนจากเน้นการสอน (ของครู) มาเป็นเน้นการเรียน (ของนักเรียน)
ครูเปลี่ยนจากการบอกเนื้อหาสาระ มาเป็นทำหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ
PLC คือเครื่องมือที่จะช่วยนำไปสู่การตั้งโจทย์และทำ “วิจัยในชั้นเรียน”
หักดิบความคิด
   PLC เป็นกิจกรรมที่ซับซ้อน (complex) มีหลากหลายองค์ประกอบจึงต้องนิยามจากหลายมุม โดยมีแง่มุมที่สำคัญต่อไปนี้   
   - เน้นที่การเรียนรู้
   - มีวัฒนธรรมร่วมมือกันเพื่อการเรียนรู้ของทุกคน ทุกฝ่าย
   - ร่วมกันตั้งคำถามต่อวิธีการที่ดี และตั้งคำถามต่อสภาพปัจจุบัน
   - เน้นการลงมือทำ
   - มุ่งพัฒนาต่อเนื่อง
   - เน้นที่ผล (หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของศิษย์)
ความมุ่งมั่นที่ชัดเจนและทรงคุณค่า
         บัญญัติ 7 ประการ ให้หาทางดำเนินการเพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลง
            1. หาทางจัดโครงสร้างและระบบเพื่อหนุนการเดินทางหรือขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
            2. สร้างกระบวนการวัดเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และทำความเข้าใจเรื่องสำคัญ
            3. เปลี่ยนแปลงทรัพยากรเพื่อสนับสนุนสิ่งสำคัญ
            4. ถามคำถามที่ถูกต้อง
            5. ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องที่มีคุณค่า
            6. เฉลิมฉลองความก้าวหน้า
            7. เผชิญหน้ากับผู้ต่อต้านเป้าหมายร่วมของคณะครู
ระบบช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนอ่อนนี้มีลักษณะเป็นไปตามตัวย่อว่า SPEED
             - Systematic (ทำเป็นระบบ) หมายถึง มีการดำเนินการเป็นระบบทั้งโรงเรียน ไม่ใช่เป็นภาระของครูประจำชั้นแต่ละคน และมีการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษร (ใคร ทำไม อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร) ไปยังทุกคน ได้แก่ ครู (ทีมของโรงเรียน) พ่อแม่ และนักเรียน
             - Practical (ทำอย่างเหมาะสม) การดำเนินการช่วยเหลือเป็นไปได้ตามทรัพยากรที่มีอยู่ของโรงเรียน (เวลา พื้นที่ ครู และวัสดุ) และดำเนินการได้ต่อเนื่องยั่งยืน ทั้งนี้ ไม่ต้องการทรัพยากรใด ๆ เพิ่ม แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรเหล่านั้นแตกต่างไปจากเดิม นี่คือ โอกาสสร้างนวัตกรรมในการจัดการทรัพยากรของโรงเรียน
             - Effective (ทำอย่างได้ผล) ระบบช่วยเหลือต้องใช้ได้ผลตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม มีเกณฑ์เริ่มเข้าระบบและออกจากระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมสำหรับช่วยเหลือนักเรียนที่แตกต่างกัน และเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ได้ผลดีแก่นักเรียนทุกคน
             - Essential (ทำส่วนที่จำเป็น) ระบบช่วยเหลือต้องทำแบบมุ่งเน้นที่ประเด็นเรียนรู้สำคัญตามผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่กำหนดโดยการทดสอบทั้งแบบประเมินเพื่อพัฒนา (formative assessment)และ แบบประเมินได้-ตก (summative assessment )
             - Directive (ทำแบบบังคับ) ระบบช่วยเหลือต้องเป็นการบังคับ ไม่ใช่เปิดให้นักเรียนสมัครใจ ต้องดำเนินการในเวลาเรียนตามปกติ ครูหรือพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ขอยกเว้นให้แก่นักเรียนคนใด

เรื่องเล่าตามบริบท :จับความจากยอดครูมาฝากครูเพื่อศิษย์
เรื่องเล่าของครูฝรั่ง
   -เตรียมทำการบ้านเพื่อการเป็นครู
   -ให้ได้ความไว้วางใจจากศิษย์
   -สอนศิษย์กับสอนหลักสูตร แตกต่างกัน
   -ถ้อยคำที่ก้องอยู่ในหูเด็ก
   -เตรียมตัว เตรียมตัว และเตรียมตัว
   -จัดเอกสารและเตรียมตนเอง
   -ทำสัปดาห์แรกให้เป็นสัปดาห์แห่งความประทับใจ
   -เตรียมพร้อมรับ “การทดสอบครู” และสร้างความพึงใจแก่ศิษย์
   -วินัยไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ
   -สร้างนิสัยรักเรียน
   -การอ่าน
   -ศิราณีตอบปัญหาครูและนักเรียน
   -ประหยัดเวลาและพลังงาน
   -ยี่สิบปีจากนี้ไป

มองอนาคต ปฏิรูปการศึกษาไทย
แรงต้านที่อาจต้องเผชิญ
     1. นโยบายการศึกษายังเป็นนโยบายสำหรับยุคอุตสาหกรรม เน้น mass education และเน้นประสิทธิภาพซึ่งเคยใช้ได้ผล แต่บัดนี้ตกยุคเสียแล้ว
     2. ระบบตรวจสอบและระบบวัดผลแบบทดสอบตามมาตรฐาน (standardized testing systems) ที่เน้นวัดความสามารถด้านทักษะพื้นฐานเช่นการอ่าน การคิดเลข แต่ไม่วัดทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
     3. แรงเฉื่อยหรือความคุ้นเคยกับระบบการสอนแบบครูบอกเนื้อหาวิชาให้นักเรียนจดจำ ที่ทำต่อ ๆ กันมาหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปี แม้จะมีครูจำนวนหนึ่งเปลี่ยนไปแล้ว คือเปลี่ยนไปทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กให้สร้างและประยุกต์ใช้ความรู้ผ่านการค้นพบ การสำรวจ และการเรียนจากโครงงาน (PBL - Project Based Learning)
     4. ผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมพิมพ์จำหน่ายตำราเรียน
     5. ความหวั่นกลัวว่าความรู้เชิงทฤษฎีจะถูกละเลย หันไปให้ความสำคัญต่อทักษะมากเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความรู้ ๒ แนวนี้ต้องเกื้อกูล (synergy) ซึ่งกันและกัน
     6. อิทธิพลของพ่อแม่ที่ยึดติดกับการเรียนแบบดั้งเดิมที่ตนเคยเรียนมาและทำให้ตนประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน จึงอยากให้ลูกหลานได้เรียนตามแบบที่ตนเคยเรียน สอบข้อสอบที่ตนเคยสอบ และรู้สึกไม่สบายใจที่โรงเรียนทดลองวิธีการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ตนไม่คุ้นเคย และอาจทำให้ลูกหลานของตนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
     1. ยกเลิกระบบการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งของครู (คศ.) ที่ใช้ในปัจจุบัน คือให้ “ทำผลงาน” ในกระดาษ และมีการติววิธีทำผลงาน เปลี่ยนมาเป็นเลื่อนตำแหน่งเมื่อผลสัมฤทธิ์ของลูกศิษย์ได้ผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการทดสอบระดับชาติ ๓ ปีติดต่อกัน จนได้ผลในระดับผ่านเกินร้อยละ๙๐ ของจำนวนเด็กนักเรียนทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า ต้องมีการทดสอบระดับชาติในทุกชั้น
     2. มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์เพิ่มผลสัมฤทธิ์ของศิษย์ทั้งโรงเรียน หรือทั้งเขตการศึกษา แล้วคณะครูและทุกฝ่ายช่วยกันดำเนินการ เน้นที่การมี PLC ระดับโรงเรียน ระดับเขตการศึกษา และระดับประเทศ เมื่อนักเรียนทั้งโรงเรียน หรือทั้งเขตการศึกษาสอบ National Education Test (NET) ผ่านเกินร้อยละ ๙๐ ก็ได้รับรางวัลทั่วทั้งโรงเรียน หรือทั่วทั้งเขตการศึกษา
     3. ปราบปรามคอรัปชั่นเรียกเงินในการบรรจุหรือโยกย้ายครู นี่เป็นความชั่ว ที่บ่อนทำลายระบบการศึกษาไทย ต้องมีมาตรการตรวจจับและลงโทษรุนแรง
     4. แบ่งเงินลงทุนเพิ่มด้านการศึกษา ครึ่งหนึ่งไปไว้สนับสนุนการเรียนรู้ของครูประจำการในลักษณะการเรียนรู้ในการทำหน้าที่ครู ที่เรียกว่า PLC (Professional Learning Community) ซึ่งเน้นที่การเรียนรู้ (learning) ของครู ไม่ใช่เน้นที่ การฝึกอบรม (training) และเน้นการเรียนรู้เป็นกลุ่มเพื่อให้ครูจับกลุ่มช่วยเหลือกัน
     5. จัดงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประจำปี ด้านการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
     6. ยกระดับข้อสอบ National Education Test (NET) ให้ทดสอบการคิดที่ซับซ้อน (complex thinking) และทักษะที่ซับซ้อน (complex skills) ตามแนวทางทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
     7. ส่งเสริมการเรียนแบบ Project-Based Learning (PBL) โดยส่งเสริมให้มี PLC ของครูที่เน้นจัดการเรียนรู้แบบ PBL ให้รางวัลและยกย่องครูที่จัด PBL ได้เก่ง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น